ปอกระเจาเป็นพืชเส้นใยเช่นเดียวกับปอแก้วเส้นใยได้จากเปลือกของลำต้น แต่มีคุณภาพละเอียดอ่อนนุ่มเหนียว และเป็นมันเลื่อมกว่าปอแก้ว ประโยชน์ส่วนใหญ่ใช้เส้นใยทอกระสอบ ทำพรมปูพื้น และสิ่งประดิษฐ์อื่น ๆ เนื่องจากคุณภาพของเส้นใยปอกระเจามีคุณภาพดีกว่าปอแก้วตลาดโลกจึงต้องการ และให้ราคาปอกระเจาสูงกว่าปอแก้ว ปอกระเจาปลูกมากในอินเดียและบังคลาเทศ

ปอกระเจามี 2 ชนิด
1. ชนิดฝักกลม-ขึ้นได้ดีในที่ลุ่มต้องการน้ำมาก
2. ชนิดฝักยาว-ขึ้นได้ดีในที่ดอนไม่ต้องการน้ำมาก แต่ต้องการดินอุดมสมบูรณ์

ในที่นี้จะขอแนะนำการปลูกปอกระเจาเฉพาะชนิดฝักยาว พันธุ์ เจ.อาร์โอ 632 และพันธุ์โนนสูง 1 หรือพันธุ์ เจ.อาร์.โอ 7835

ลักษณะทั่ว ๆ ไป ของปอกระเจาฝักยาว พันธุ์ เจ.อาร์.โอ 632 และพันธุ์โนนสูง 1

การเจริญเติบโตของปอกระเจาฝักยาว เติบโตดีในดินที่มีความอุดมสมบูรณ์สูง น้ำไม่ขังการระบายน้ำดี

ลักษณะของลำต้น กลม สีเขียว ใบยาวรีสีเขียว ริมใบหยัก

การแตกกิ่งก้าน หากปลูกตามฤดูจะไม่แตกกิ่งก้าน หากปลูกก่อนหรือหลังฤดู จะแตกกิ่งก้านมาก

ข้อแตกต่างของปอกระเจาพันธุ์ฝักยาวระหว่างพันธุ์ เจ.อาร์.โอ 632 และพันธุ์โนนสูง 1
ลักษณะ เจ.อาร์.โอ 632 โนนสูง
1. สีลำต้น เขียวนวล เขียว
2. สีก้านใบ ด้านบนสีเขียวด้านล่างสีขาว เขียว
3. ฝัก สีเขียวยาว สีเขียวยาวมาก
4. สีเมล็ดพันธุ์ สีเทาอมฟ้า สีเทา
5. ฤดูการปลูก (เดือน) พฤษภาคม พฤษภาคม
6. อายุการออกดอก 100 วัน 110 วัน
7. อายุการเก็บเกี่ยวเส้นใย 110 วัน 120 วัน
8. อายุการเก็บเกี่ยวเมล็ดพันธุ์ 140 วัน 150 วัน
9. ผลผลิตเส้นใย 550 กก./ไร่ 628 กก./ไร
10. ผลผลิตเมล็ดพันธุ์ 60-80 กก./ไร่ 60-80 กก./ไร

จากการเปรียบเทียบปอกระเจาผักยาวพันธุ์ เจ.อาร์.โอ 632 และพันธุ์โนนสูง 1 จะเห็นได้ว่าปอกระเจาฝักยาวพันธุ์โนนสูง 1 ให้ผลผลิตสูงกว่าพันธุ์ เจ.อาร์โอ 632 ซึ่งเป็นพันธุ์ส่งเสริมอยู่เดิมถึง 10 เปอร์เซ็นต์ สำหรับการปลูก การบำรุงดูแลรักษาตลอดจนการเก็บเกี่ยว ฯลฯ ก็ใช้วิธีเดียวกัน ตามวิธีดังนี้

เนื่องจากปอกระเจาฝักยาวพันธุ์นี้ เป็นปอที่มีความไวต่อแสงแดดมาก ถ้าปลูกในเดือนเมษายน แสงแดดจัดจะแตกกิ่งก้านมากหากจะปลูกเอาเส้นใยควรปลูกในเดือนพฤษภาคม ซึ่งจะตัดฟอกได้ประมาณเดือนสิงหาคม

ควรปลูกเป็นแถว ระยะระหว่างแถว 30 เซนติเมตร ระยะระหว่างต้น 5 เซนติเมตร หลุมละ 1 ต้น วิธีปลูกเมื่อเตรียมดินดีแล้วใช้เชือกขึงหัวท้ายแปลง แล้วใช้เมล็ดโรยตามเชือกเสร็จแล้วไม่ต้องเกลี่ยดินกลบทับอย่าปลูกลึกเหมือนกับปอแก้ว เพราะดินจะกลบทับเวลาฝนตกทำให้ต้นอ่อนไม่สามารถจะโผล่พ้นดินได้

เมล็ดปอกระเจา 1 กก. ปลูกได้ 3 ไร่ เนื่องจากเมล็ดเล็กมาก จึงต้องใช้ทราย หรือดินร่วนผสมกับเมล็ดอ่อนโรยปลูก จะทำให้เมล็ดงอกสม่ำเสมอดีไม่หนาแน่น หรือบางเกินไปโดยปกติควรจะปลูกหรือโรยเมล็ดปอกระเจาหลังฝนตกแล้ว หรือบริเวณที่จะปลูกต้องมีความชุ่มชื้นดี เมล็ดปอจะได้งอกสม่ำเสมอ หากปลูกก่อนฝนตกหรือโรยเมล็ดในดินที่แห้งเมื่อฝนตกลงมาจะทำให้เมล็ดปอถูกฝนชะไหลไปกับน้ำฝนทำให้งอกไม่สม่ำเสมอ

เมื่อปอกระเจางอกแล้วสูงประมาณ 5-10 ซม. (เมื่อปลูกแล้วประมาณ 2 สัปดาห์) ให้ถอนต้นที่ขึ้นชิดกันมากออกให้เหลือระยะห่างระหว่างต้นประมาณ 1 ฝ่ามือ หรือ 5 ซม.
กำจัดวัชพืช ควรดายหญ้า 2 ครั้ง ครั้งแรกเมื่อต้นปอสูง 30 ซม. หรือเมื่อปออายุได้ 1 เดือน ครั้งที่ 2 เมื่อปออายุ 2 เดือน

นอกจากปุ๋ยคอกหรือปุ๋ยหมักแล้ว ควรใช้ปุ๋ยวิทยาศาสตร์ ซึ่งมีอัตราส่วนผสมของ เอ็น.พี.เค. สูตร 8-8-8 ในอัตราส่วน 50 กก.ต่อไร่ จะให้ผลผลิตสูง การใส่ปุ๋ยควรใส่ปุ๋ยข้างแถวปอแล้วพรวนกลบ

หลักสำคัญในการพิจารณาตัดต้นปอเพื่อแช่ฟอกสังเกตดูเมื่อ
1. ปอกระเจาเริ่มติดกระเปาะฝักประมาณ 50 เปอร์เซ็นต์
2. ความสูงตั้งแต่ 3 เมตรขึ้นไป
3. ใบล่างเริ่มร่วง
อย่า ตัดปอกระเจาเมื่อเริ่มมีดอกเหมือนปอแก้ว เพราะอายุปอยังอ่อนจะได้เส้นใยน้อย และคุณภาพไม่ดี เส้นใยเปื่อยไม่เหนียว

เมื่อตัดต้นปอแล้ว ควรมัดต้นปอเป็นมัด ๆ ขนาดเส้นผ่าศูนย์กลาง 30 เซนติเมตร มัดเป็นเปลาะ มัดละ 3 เปลาะ แล้วนำไปแช่น้ำที่มีความลึกประมาณ 100-200 เซนติเมตร ต้องให้ปอแต่ละมัดจมอยู่ใต้น้ำจึงจะเปื่อยดี หลังจากแช่แล้วประมาณ 14-20 วัน ปอก็จะเปื่อยพอฟอกได้ เมื่อลอกและฟอกล้างได้สะอาด แล้วควรตากแดดให้แห้งสนิทสัก 2 แดด แล้วจึงนำเข้ามัดนำส่งขายยังตลาดต่อไป

อย่า ตัดปอกระเจาทิ้งไว้ในไร่หลายวันเหมือนปอแก้วควรตัดแล้วนำไปแช่น้ำทันที หากทิ้งไว้หลายวันจะทำให้ลอกยาก

เกษตรกรผู้ปลูกปอควรแบ่งแปลงปอไว้ส่วนหนึ่ง เพื่อเก็บเมล็ดพันธุ์โดยเฉพาะสำหรับใช้ทำพันธุ์ปลูกในฤดูต่อไป โดยคัดเลือกเก็บเมล็ดที่แข็งแรง เจริญเติบโตสม่ำเสมอดี ไม่มีโรคและแมลงรบกวน และเก็บพันธุ์จากฝักแก่เต็มที่