โรค-แมลงศัตรูและการป้องกันกำจัด
ปกติสับปะรดมักปลูกซ้ำที่เดิมอยู่ตลอดปีเพียงพืชเดียวโดด
ๆ จึงเป็นโอกาสที่โรค-แมลงศัตรูจะระบาดเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ
ตลอดจนโรคมีโอกาสปรับตัวให้เข้ากับสภาพการปลูกและการดูแลรักษา
ซึ่งปฏิบัติซ้ำซากตลอดมา
โรคแมลงศัตรูที่สำคัญที่ทำความเสียหายให้กับสับปะรดมีดังนี้
1. โรคยอดเน่าหรือต้นเน่า
เกิดจากเชื้อรา 2 ชนิด ทำความเสียหายร้ายแรงให้กับสับปะรดที่ปลูกในพื้นที่ที่มีการระบายน้ำเลว
หรือในช่วงฝนตกชุก และระบาดรุนแรงมากเป็นพิเศษในพื้นที่ที่มีสภาพเป็นด่างคือระดับความเป็นกรด-ด่างของดินสูงกว่า
5.5 ขึ้นไป
เชื้อราพักอยู่ในดินได้เป็นเวลาหลายปี
เมื่อสภาพแวดล้อมเหมาะสมก็เข้าทำลายสับปะรดได้อีก
อาการ ในแปลงสับปะรดที่มีอายุ
2-3 เดือน อาการเริ่มแรกจะเห็นใบสับปะรดเปลี่ยนจากสีเขียวสดเป็นเขียวอมเหลืองซีด
ปลายใบงอเกิดรอยย่นบริเวณตัวใบ
ใช้มือดึงส่วนยอดจะหลุดติดมือโดยง่าย โคนใบที่เน่าจะมีสีขาวอมเหลือง
และมีขอบสีน้ำตาล
ส่งกลิ่นเหม็นเฉพาะตัว สำหรับสับปะรดที่มีอายุ
6 เดือนขึ้นไป หากดินฟ้าอากาศไม่เหมาะสมก็อาจเกิดโรคนี้ได้
โดยจะแสดงอาการที่ส่วนยอดเท่านั้น ซึ่งเป็นเพราะว่าส่วนยอดมีความอ่อนแอมากที่สุด
สับปะรดที่เกิดโรคนี้มักจะไม่ตาย
แต่ทำให้เกิดอาการเตี้ยแคระออกผลล่าช้าหรือไม่ติดผลเลยก็ได้
ในฤดูฝนจะสังเกตอาการได้ยาก มักพบว่าใบตรงกลุ่มกลางต้นจะล้มพับลงมา
ทั้ง ๆ ที่ใบเริ่มจะเปลี่ยนสีเขียวเล็กน้อย
การเน่าจะมีกลิ่นเหม็นเฉพาะตัว
การป้องกันกำจัด
1. ปรับปรุงการระบายน้ำในแปลงปลูกให้ดี
เช่น ไถดินให้มีความลึกมากขึ้น การยกแปลงให้สูง การปรับระดับพื้นที่ให้ลาดเอียงเล็กน้อย
เพื่อไม่ให้น้ำขัง จะช่วยลดความเสียหายลงได้มาก
2. ควรใช้หน่อหรือตะเกียงปลูก
เพราะว่าการใช้จุกปลูกจะมีโอกาสเน่าเสียหายได้ง่าย เพราะจุกมรอยแผลที่โคนขนาดใหญ่กว่า
เมื่อเทียบ กับหน่อหรือตะเกียง
3. ปรับระดับความเป็นกรด-ด่างของดินให้ลดต่ำกว่า
5.5 โดยใช้กำมะถันหรือปุ๋ยที่มีฤทธิ์ตกค้างเป็นกรด เช่น แอมโมเนียมซัลเฟต
4. ก่อนปลูกจุ่มหน่อพันธุ์ให้ชุ่มในสารเคมีป้องกันเชื้อราที่แนะนำไปแล้วในเรื่อง
"การเตรียมหน่อพันธุ์ก่อนปลูก" หลังปลูกไปแล้วควร
ป้องกันโรคนี้โดยการใช้สารเคมีดังกล่าวฉีดพ่นที่ยอดทุก
ๆ 2 เดือน
2. โรคผลแกน
เกิดจากเชื้อรา 2 ชนิด โรคนี้จะพบมากในสับปะรดที่แก่จวนจะเก็บผลได้แล้ว
สับปะรดที่ผ่านช่วงแล้งและร้อนเป็นระยะเวลานาน ๆ
สลับกับฝนตกในช่วงผลใกล้จะแก่ จะเกิดโรคนี้ได้มาก
รวมทั้งการใช้ปุ๋ยยูเรีย ติดต่อกันในอัตราที่สูงมีแนวโน้มทำให้เกิดโรคนี้ได้
อาการ ลักษณะอาการภายนอกผลไม่ค่อยแตกต่างจากสับปะรดที่ปกติ
แต่เนื้อภายในผลจะแข็งเป็นไต มีบางส่วนเปลี่ยนเป็นสีน้ำตาล
เกิดอาการเป็นหย่อม ๆ หรือแพร่กระจายทั่วทั้งลูกก็ได้
ทำให้ความหวานลดลง สับปะรดที่มีผลขนาดใหญ่จะเป็นโรคนี้มากกว่าผลที่มีขนาดเล็ก
โรคผลแกน
การป้องกันกำจัด
1. โดยลดปริมาณปุ๋ยยูเรีย ให้ใช้ตามอัตราที่แนะนำ
2. ใช้ปุ๋ยสูตร 15-15-15 อัตรา 40 กรัมต่อน้ำ
20 ลิตร ฉีดพ่นทุก ๆ 15 วัน ตั้งแต่ผลสับปะรดอยู่ได้ 90
วัน จนก่อนเก็บเกี่ยวผล 1 เดือน
3. ฉีดพ่นด้วยสารเตตรามัยซิน อัตรา 250
ส่วนในล้านส่วน (ppm) ในช่วงที่ผลสับปะรดเริ่มพัฒนาจนถึงก่อนเก็บเกี่ยว
3. ไส้เดือนฝอย
จะทำให้เกิดความเสียหายแก่ผลผลิตอย่างมาก
โดยเฉพาะในสับปะรดรุ่นที่ 2 หรือ 3 มักจะมีอาการรากปม ซึ่งเกิดจากไส้เดือนฝอยรากผมเป็นส่วนใหญ่
เมื่อไส้เดือนฝอยนี้เข้าทำอันตรายแก่สับปะรดแล้ว เชื้อราโรคเน่าจะเข้าไปทำลายซ้ำเติมได้
การป้องกันกำจัด
1. ขุดต้นและรากของสับปะรดที่แสดงอาการขึ้นมาเผาทำลาย
2. หลีกเลี่ยงการปลูกสับปะรดซ้ำที่เดิม,
ปลูกพืชอื่นหมุนเวียน
3. ปลูกพืชที่มีความต้านทานต่อไส้เดือนฝอย
เช่น ดาวเรือง ถั่วลายโครตาเลีย เป็นต้น
4. ใช้สารเคมีอบฆ่าไส้เดือนฝอยในดิน
เช่น นีมากอน ดี-ดี-มิกซ์เจอร์ เป็นต้น
4.
เพลี้ยแป้ง
เป็นแมลงตัวเล็กยาวประมาณ 3-4 มิลลิเมตร
ลำตัวเป็นปล้องค่อนข้างสั้น มีขี้ผึ้งคล้ายผงแป้งสีขาวห่อหุ้มตัว และมีเส้นใยยื่นออกจากตัว
ตัวเมียไม่มีปีก ตัวผู้มีปีก มักพบเป็นกลุ่มที่ซอกกาบใบ
โดนต้นและลำต้น เมื่อบี้ตัวแมลงจะมีเมือกสีแดงคล้ายเลือดออกมา
การทำลายโดยจะดูดกินน้ำเลี้ยงที่บริเวณโคนต้นและราก
ถ้ามีการทำลายมาก ๆ ต้นและใบจะค่อย ๆ เหี่ยวแห้งอาจถึงตายได้
ทำให้ผลผลิต
ลดลง ตัวพาหะของเพลี้ยแป้งคือ มดดำ
ซึ่งจะคาบเพลี้ยแป้งมาปล่อยไว้ที่ต้นสับปะรด และอาศัยกินของเหลวที่เพลี้ยแป้งขับถ่ายออกมา
การป้องกันกำจัด
ควรทำควบคู่ไปกับการกำจัดมดดำที่เป็นพาหะของเพลี้ยแป้ง โดยใช้มาลาไธออนฉีดพ่นหรือจุ่มหน่อก่อนปลูก
เพื่อกำจัดเพลี้ยแป้ง และใช้เซฟวินฉีดเป็นแนวกันมดรอบแปลงปลูก
ถ้าพบเพลี้ยแป้งในภายหลังปลูกแล้วให้ใช้มาลาไธออนฉีดพ่นในอัตรา
40 ซีซีต่อน้ำ 20 ลิตร เพื่อกำจัดเพลี้ยแป้ง |