พันธุ์ที่ปลูกมากในประเทศไทย
พันธุ์ที่ปลูกในประเทศไทยแบ่งออกได้เป็น 5
พันธุ์ โดยถือตามลักษณะของต้นที่ได้ขนาดโตเต็มที่ และแข็งแรงสมบูรณ์เป็นบรรทัดฐานดังนี้คือ
1. พันธุ์ปัตตาเวีย
พันธุ์นี้รู้จักแพร่หลายในนามสับปะรดศรีราชา
และชื่ออื่น ๆ เช่น ปราณบุรี, สามร้อยยอด ปลูกกันมากเพื่อโรงงานอุตสาหกรรม
แหล่งปลูกที่สำคัญคือ ประจวบคีรีขันธ์ ชลบุรี เพชรบุรี
ลำปาง และการปลูกกันทั่ว ๆ ไป เพื่อขายผลสด เพราะมีรสหวานฉ่ำมีน้ำมาก
ลักษณะทั่ว ๆ ไป
คือ มีใบสีเขียวเข้ม และเป็นร่องตรงกลางผิวใบด้านบนเป็นมันเงา
ส่วนใต้ใบจะมีสีออกเทาเงิน ตรงบริเวณกลางใบมักมีสีแดงอมน้ำตาล
ขอบใบเรียบมีหนามเล็กน้อยบริเวณปลายใบ กลีบดอกสีม่วงอมน้ำเงิน
ผลมีขนาดและรูปทรงต่างกันไป มีน้ำหนักผลอยู่ระหว่าง 2-6 กิโลกรัม
แต่โดยปกติทั่วไปประมาณ 2.5 กิโลกรัม เปลือกผลเมื่อดิบสีเขียวคล้ำ
เมื่อแก่จัดจะเปลี่ยนเป็นสีเหลืองอมส้มทางด้านล่างของผลประมาณครึ่งผล
ก้านผลสั้นมีไส้ใหญ่เนื้อเหลืองอ่อนแต่จะเปลี่ยนเป็นสีเข้มในฤดูร้อน
รสชาติดี

พันธุ์สิงคโปร์

พันธุ์สิงคโปร์-ปัตตาเวีย
2. พันธุ์อินทรชิต
เป็นพันธุ์พื้นเมืองที่เก่าแก่ที่สุดในประเทศไทย
ปลูกกันกระจัดกระจายทั่วไป แหล่งปลูกที่สำคัญได้แก่จังหวัดฉะเชิงเทรา
ลักษณะทั่ว ๆ ไป
คือขอบใบจะมีหนามแหลมร่างโค้งงอสีน้ำตาลอมแดง
ใบสีเขียวอ่อนไม่เป็นมัน ขอบใบทั้ง 2 ข้างมีแถบสีแดงอมน้ำตาลตามแนวยาว ใต้ใบจะมีสีเขียวออกขาวและมีวาวออกสีน้ำเงินกลีบดอกสีม่วงเข้ม
ผลมีขนาดเล็กกว่าพันธุ์ปัตตาเวีย รสหวานอ่อน มีตะเกียงติดอยู่ ที่ก้านผล เปลือกผลเหนียวแน่นทนทานต่อการขนส่ง
เหมาะสำหรับบริโภคสด
3. พันธุ์ขาว
เป็นพันธุ์พื้นเมือง เกษตรนิยมปลูกพันธุ์นี้ร่วมกับพันธุ์อินทรชิต
เข้าใจว่าจะกลายพันธุ์มาจากพันธุ์อินทรชิต แหล่งปลูกที่สำคัญคือ ฉะเชิงเทรา
ลักษณะทั่ว ๆ
มีใบสีเขียวอมเหลืองหรือเขียวใบไม้ ทรงพุ่มเตี้ยใบแคบและสั้นกว่าพันธุ์อินทรชิต
ขอบใบมีหนามโค้งงอเข้าสู่ปลายใบ โคนกลีบดอกสีม่วงอ่อน ปลายกลีบสีม่วงอมชมพู
เนื้อผลสีเหลืองทอง รสหวานอ่อน ผลมักมีหลายจุก คุณภาพของเนื้อไม่ค่อยดีนัก
ผลมีขนาดปานกลาง น้ำหนักเฉลี่ย 0.85 กิโลกรัม มีลักษณะเป็นทรงกระบอก
มีตาลึกทำให้ผลฟ่ามง่าย
4. พันธึภูเก็ตหรือสวี
ปลูกกันมากในสวนยางจังหวัดภูเก็ต ชุมพร
นครศรีธรรมราช และตราด โดยปลูกระหว่างแถวยาวรุ่นที่ยังมีอายุน้อยเพื่อเก็บผลขายก่อนกรีดยาง
มีชื่ออื่น ๆ อีกเช่น พันธุ์ชุมพร พันธุ์สวี พันธุ์ตราดสีทอง
ลักษณะทั่ว ๆ ไป
ใบสีเขียวอ่อนและมีแถบสีแดงในตอนกลางและปลายในขอบใบมีหนามสีแดงแคบและยาวกว่าพันธุ์อินทรชิตและ
พันธุ์ขาวกลีบดอก สีม่วงอ่อน ผลมีขนาดเล็กกว่าทุกพันธุ์ที่กล่าวมาตาลึกเปลือกหนา
เนื้อหวานกรอบสีเหลืองเข้ม เยื่อใยน้อย มีกลิ่นหอม เหมาะสำหรับบริโภคสด
เป็นที่นิยมมากในภาคใต้
5. พันธุ์นางแลหรือน้ำผึ้ง
ปลูกมากในจังหวัดเชียงราย
ลักษณะทั่ว ๆ ไป
คล้ายคลึงกับพันธุ์ปัตตาเวีย แต่มีรูปร่างของผลทรงกลมกว่าพันธุ์ปัตตาเวีย
ตานูน เปลือกบางกว่าและรสหวานจัดกว่าพันธุ์ปัตตาเวีย ผลแก่มีเนื้อในสีเหลืองเข้ม
มีเยื่อใยน้อยเหมาะสำหรับบริโภคสด เป็นที่นิยมมากในภาคเหนือ ผลมีเปลือกบางมาก
ขนส่งทางไกลไม่ดีนัก
เปรียบเทียบลักษณะที่สำคัญของพันธุ์สับปะรดในไทย
ลักษณะที่ดี |
ลักษณะที่ไม่ดี |
1. พันธุ์ปัตตาเวีย
คุณสมบัติในการบรรจุกระป๋อง นับว่าดี
ทนทานต่อความแห้งแล้ง
และขาดน้ำได้ดีกว่าพันธุ์อื่น ๆ
ขอบใบเรียบ เนื้อในสีเหลือง
เนื้อฉ่ำ รสหวาน |
ไม่พบตะเกียง ไม่ทนต่อโรคมาก
และต้นเน่าไม่ทนต่อโรคผลแกน
รูปทรงของผลขนาดใหญ่ไม่ดี
|
2. พันธุ์ภูเก็ต
รูปร่างทรงกระบอกสม่ำเสมอดี
รสชาติดี เนื้อหวานกรอบ มีกลิ่นหอม
เนื้อสีเหลืองจัด ตอบสนองสารเร่งดอกได้ดี
การบรรจุกระป๋องไม่ค่อยดีนัก |
ผลดีขนาดเล็ก ตาลึก
เนื้อมีช่องว่างเป็นโพรง ในมีหนามมาก
หน่อมากเกินไปจนเป็นกอ
|
3. พันธุ์นางแล
ผลมีเปลือกบางมาก รสหวานแหลม
เนื้อมีเยื่อใยน้อยสีเหลืองจัด
ขอบใบมักเรียบ |
ผลมีขนาดเล็ก ทรงกลม
ผลย่อยนูนพอง ขนส่งทางไกลไม่ค่อยดี
|
4. พันธุ์อินทรชิต
ทนต่อดินเหนียวและการระบายน้ำเลว
ทนต่อโรคเน่า เปลือกผลหนา
ทนต่อการขนส่ง เนื้อสีเหลือง
ตอบสนองต่อสารเร่งดอกได้ดี |
ไม่ค่อยทนแล้ง ผลขนาดเล็ก
ตาเล็ก
ตาลึกใบหนามาก เนื้อมีเยื่อใยมาก
มีหลายจุก
|
|