ไม้ยืนต้นเป็นองค์ประกอบสำคัญของระบบนิเวศวิทยาการเกษตร ไม้ยืนต้นมีความสำคัญอย่างยิ่งต่อระบบการเกษตรและแบบแผนการ เกษตรต่างๆโดยเฉพาะอย่างยิ่งในฐานะที่เป็นแหล่งผลิตอินทรีย์วัตถุและรักษา ความชุ่มชื่นให้กับดิน
ในภาคตะวันออกเฉียงเหนือและภาคอื่นๆ ที่มีการปลูกพืชไร่และพืชอายุสั้นที่มี ระบบรากตื้นทั้งหลายติดต่อกันยาวนานโดยไม่มีการปรับปรุงบำรุงดินนั้นดินจะเสื่อมความสมบูรณ์ลงอย่างช้าๆ จนเป็นสาเหตุให้เกิดปัญหา ดินทรายขยายตัว ดินเค็ม และศัตรูพืชระบาด
การปลูกไม้ยืนต้นในระบบการเกษตรดังกล่าวเป็นการเปลี่ยนพื้น ที่จากการทำนา,ทำไร่ มาเป็นสวนผลไม้ (โดยปรับสภาพพื้นที่ไม่ให้น้ำท่วมขัง) ฯลฯ จะช่วยฟื้นฟูความอุดมสมบูรณ์ของและและสภาพแวดล้อมอย่างช้าๆ โดยไม้ผลก็ให้ประโยชน์ทางเศรษฐกิจตอบแทนกลับมาด้วยอีกทางหนึ่ง



1. การบังแดดให้ต้นอ่อน
ถ้าไม้ยืนต้นเป็นต้นอ่อนอายุ 1 เดือน ต้องบังแดดในเดือนแรก ให้กล้าไม้ได้รับแสงแดดตอนเช้า วันละ 3-4 ชั่วโมงก็พอ ต่อไปจึงเพิ่มแสงแดดให้มากขึ้น (วัสดุที่ใช้บังแดดได้ดี เช่น ทางมะพร้าว เป็นต้น)

2. การคลุมโคนต้น
ถ้าต้นไม้อายุ 2-3 เดือน ใชกิ่งไม้ ใบกล้วยแห้ง หญ้า ฟาง หรือวัสดุอื่นๆ ที่ย่อยสลายได้ คลุมโคนต้นโดยรอบ คลุมให้หนาพอที่จะป้องกันแสงแดด และลมโกรกผิดหน้าดิน เป็นการลดการระเหยของน้ำ ควบคุมวัชพืช และได้อินทรีย์วัตถุเป็นผลพลอยได้

3. การปลูกพืชบังร่ม

ในระหว่างแถวที่ปลูกไม้ยืนต้น จำเป็นต้องมีไม้บังร่ม เป็นพืชที่เลี้ยง ซึ่งนอกจากจะช่วยลดแสงแดดจัดแล้ว ยังช่วยรักษาความชื้น พืชที่ใช้บังร่มได้ดีเช่นต้นกล้วย แค กระถิน เป็นต้น

4. การปลูกพืชระยะชิด
โดยวางระยะปลูกให้ถี่สักเล็กน้อยเมื่อต้นไม้โตขึ้นทรงพุ่มชิดกันเป็นการลดความร้อน จากแสงแดดส่องถูกต้นโดยตรง

5. แนวกันลม

ตามแนวรั้วควรปลูกพืชกำบังลมป้องกันลมโกรก ซึ่งจะทำให้ดินแห้ง เช่น ใช้ต้นขี้เหล็ก และต้นมะขามเทศ ปลูกชิดติดกันทางด้านทิศตะวันออกเฉียงเหนือซึ่งเป็นทางลมพัดโกรกในหน้าหนาว จะช่วยรักษาความชื้นของอากาศในสวนผลไม้ได้เป็นอย่างดี

6. การใส่ปุ๋ยอินทรีย์

ควรใส่ปุ๋ยหมัก, ปุ๋ยคอก เพิ่มเติมเรื่อยๆ เพื่อเพิ่มอินทรย์วัตถุในดิน ใส่มากๆ ยิ่งดีจะทำให้ดินอุดมสมบูรณ์และดูดซับน้ำได้ดีขึ้น

7. เลือกปลูกพืชรากลึก

พันธุ์พืชที่นำมาปลูกควรเป็นกิ่งทาบ หรือเพาะเมล็ดเพราะมีรากแก้วหยั่งลึกลงไปในดิน เมื่อถึงฤดูแล้งจะได้หาอาหารและน้ำจากดินส่วนล่างขึ้นมาประทังไว้ได้ ถ้าเป็นพันธุ์จากกิ่งตอนที่มีแต่รากแขนงและรากฝอยรากเหล่านี้จะได้รับอันตรายจากการขาดน้ำและอาหารเพราะหน้าร้อนผิวหน้าดินจะแห้งและร้อนจัด

8. การให้น้ำแบบพิเศษ

กรณีพืชที่ปลูกมีราคาแพงหรือหาได้ยากหรือเป็นพันธุ์จากท้องถิ่นอื่นที่ไม่คุ้นเคยกับสภาพอากาศที่แห้งแล้งให้หาตุ่มน้ำดินเผาชนิดเนื้อหยาบ ตั้งไว้โคนต้นสักใบเติมน้ำให้เต็มตุ่มตลอดวันจะช่วยให้ความชุ่มชื้นแก่ต้นไม้ได้เป็นอย่างดี

9. เลือกปลูกพืชทนแล้ง

พืชยืนต้นที่ทนแล้ง ได้แก่ น้อยหน่า มะม่วง ขนุน กล้วยน้ำว้า มะพร้าว มะขามเทศ มะรุม ขี้เหล็ก สะเดา มะขามเปรียว มะยม เป็นต้น
ส่วนมะละกอ มะนาว มะกรูด มีรากอยู่ตื้น ไม่ทนแล้งจึงไม่ควรปลูกมาก

10. ใช้ไม้ท่อนนำร่องพืชรากลึก

พืชที่รากแก้วหยั่งรากลึก เช่น มะม่วง ควรใช้ไม้เนื้ออ่อน เช่น ไม้ทองหลาง, ก้ามปู ขนาดเสาเข็มตัดเป็นท่อนๆยาวประมาณ 1 ศอก ฝังกลางหลุมปลูกในระดับใต้รากประมาณ 2-3 ท่อน พอไม้ผุก็จะกลายเป็นช่องว่างให้รากแก้วหยั่งลงไปได้สะดวก ไม่คดงอ

11. ใช้น้ำอย่างประหยัดได้ประโยชน์สูงสุด

น้ำที่ใช้ในกิจประจำวันเล็กๆน้อยๆ เช่น ล้างหน้า อาบน้ำ ซักเสื้อผ้า ล้างทำความสะอาดอาหาร เหล่านี้ นับเป็นปุ๋ยได้อย่างหนึ่งเนื่องจากมีคราบเหงื่อไคลผสมอยู่แม้แต่น้ำปัสสาวะถ้าเอามาผสมน้ำในอัตรา 1:20 แล้วเอามารดน้ำต้นไม้จะเจริญเติบโตได้ดีมากเช่นกัน
เพื่อลดความเสียหายของไม้ยืนต้นในสภาวะแห้งแล้งอาจมีวิธีอื่นๆอีกหลายวิธีซึ่งทำให้ใช้น้ำที่มีอยู่อย่างจำกัดให้เกิดประสิทธิภาพสูง และต้องทำหลายๆวิธีร่วมกันรวมทั้งเลือกปลูกพืชที่มีรากลึกทนแล้งร่วมอยู่ด้วย จะทำให้ไม้ผลยืนต้นรอดชีวิตผ่านสภาวะแห้งแล้ง แล้วเจริญเติบโตต่อไป ซึ่งจะเกิดประโยชน์ทั้งด้านเศรษฐกิจและสภาพแวดล้อม